“Cuphead” เป็นเกมที่เพิ่งออกมาใหม่ที่ตั้งใจทำหน้าตาให้ดูเหมือนกับ “อนิเมชั่นสมัยเก่า” หลายคนคงจะรู้จักเกมนี้กันบ้างแล้วแหละ เพราะมันถูกโปรโมทไว้ตั้งแต่ปี 2014 นู่นเลย สำหรับตอนนั้นก็เป็นที่ฮือฮาในกันในวงการเกมพอสมควรนะ เนื่องจาก Artstyle ของเกมนี้ มันมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเตะตาจริงๆ แต่ว่าถ้ามันมีดีแค่งานภาพ เกมนี้ก็คงไม่ถูกพูดถึงมากมายขนาดนี้แน่ๆ
Gaming Room เลยขอพาทุกท่านไปพิสูจน์ว่าทำไมเกมแอคชั่นลุยด่านเกมนี้ถึงได้ถูกกล่าวถึงในวงกว้าง และได้รับการต้อนรับที่ดีสุดๆ ขอเชิญทุกท่านอ่านรีวิว Cuphead ได้ ณ บัดนี้จ้า…
การออกแบบภาพ
อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าส่วนที่โดดเด่นที่สุดของเกมนี้ต้องยกให้กับ “งานภาพ” จริงๆ Artstyle ทั้งหมดของเกมนั้นตั้งใจทำออกมาให้ดูคล้ายกับ “อนิเมชั่นยุค 30s-60s” ซึ่งถ้าลองย้อนกลับไปดูอนิเมชั่นสมัยนั้น มันก็มีความหลอนและน่ากลัวอยู่พอสมควรนะ งานภาพที่ทำออกมาเลยเข้ากับธีมเรื่องของเกมเป็นอย่างดีด้วย (เกมนี้มันเกี่ยวกับภูตผีซาตานอะไรแบบนั้นอ่ะนะ) ตรงนี้ต้องขอปรบมือดังๆที่ทางทีมงานสามารถจับจุดตรงนี้ออกมาได้ และเอามาขยายต่อได้อย่างน่าสนใจมากๆ
และสิ่งที่ทำให้เกมนี้มันโดดเด่นขึ้นมาจากเกมอินดี้ทั่วไปก็คือ “ความพิถีพิถันในเชิงศิลปะ” ของมันนี่แหละ!! ในยุคสมัยนี้ที่อะไรๆก็เป็นโพลีกอนไปหมดแล้ว ผู้พัฒนาเกมกลับเลือกที่จะใช้การวาดตัวละครด้วยมือขึ้นมาแทน ทีละเฟรมๆ แบ็คกราวน์ของเกมนั้นก็ถูกวาดขึ้นมาจากสีน้ำจริงๆ ไม่ได้ผ่านฟิลเตอร์ใดๆทั้งสิ้น ดูๆไปเหมือนนั่งดูอนิเมชั่นยุคเก่าเรื่องหนึ่งเลยล่ะ ซึ่งตรงนี้มันเปิดมุมมองใหม่ๆให้เราเห็นว่า “การออกแบบเกมให้สวย” ไม่จำเป็นจะต้องเกิดจากการเรนเดอร์ที่อลังการเสมอไป แต่อยู่ที่ “ไอเดีย” และ “ความพิถีพิถัน” ที่ใส่เข้ามาเสียมากกว่า
ดนตรีประกอบ
ความเก๋าของเกมนี้นอกจากงานภาพแล้ว สิ่งที่ช่วยส่งเสริมเกมนี้ดีเลิศอีกอย่างคือ “ดนตรีประกอบ” ที่ทำออกมาเป็นแนวเรโทรเช่นกัน แล้วมันก็ออกมาดีมากๆเลยด้วย!! โดยเฉพาะถ้าใครที่ชอบฟังแนว Jazz อยู่แล้วก็ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง เรียกว่าจะเอาเพลงประกอบจากเกมนี้ไปเปิดในบาร์ได้ไม่อายใคร ได้บรรยายากาศสุดๆด้วย!! (ลองฟังตัวอย่างจากในวิดีโอข้างล่างดูนะ)
สำหรับใครที่เล่นบน Steam เป็นหลัก สามารถหาซื้อเพลงประกอบมาฟังได้ด้วยนะ และถ้าทั้งหมดนี้ยังไม่เรโทร พอ ทางทีมผู้พัฒนาเกมได้ทำเพลงประกอบในรูปแบบ “แผ่นเสียง” มาขายด้วย!! ใครสนใจสามารถไปสั่งได้เลยที่ store.iam8bit.com
เนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ไม่มีอะไรมาก หลักๆคือทำออกมาล้อเลียนอนิเมชั่นสมัยก่อนนี่แหละ…
เนื้อเรื่องมันมีอยู่ว่า…เจ้าสองพี่น้อง Cuphead และ Mugman เนี่ย ดันพลัดหลงไปเจอกับบ่อนคาสิโน ที่เปิดโดยปิศาจ รู้ตัวอีกที ทั้งคู่ก็ติดพนันงอมแงม เรียกว่าโงหัวไม่ขึ้นเลยล่ะ โดยหารู้ไม่ว่าที่พวกเค้าเล่นชนะติดต่อกันหลายหน มันเป็นอุบายของเจ้าปิศาจนี่แหละ
ต่อมาเจ้าปิศาจร้ายจึงได้ชวนสองพี่น้องที่กำลังถูกผีพนันเข้าสิง เดิมพันตาสุดท้าย “ถ้าชนะ…เอาเงินไปหมดเลย”
แต่ “ถ้าแพ้…ทั้งคู่จะต้องใช้หนี้ด้วยวิญญาณ” ซึ่งผลออกมาก็คือ “แพ้” ตามระเบียบ…
และ “เป้าหมายของเกมนี้” คือเราต้องไปฆ่า “ลูกหนี้ของเจ้าปิศาจ” เพื่อเอา “วิญญาณลูกหนี้” มาปลดหนี้ให้ตัวเอง!! (พล็อตเรื่องอะไรฟระเนี่ย!!! ภาพน่ารักแต่เนื้อเรื่องมาสายดาร์กซะงั้น!!)
ถึงแม้เนื้อเรื่องจะไม่ได้มีอะไรซับซ้อนและออกจะเลยเถิดไปไกล แต่สิ่งที่เราชอบก็คือ อารมณ์ขัน (แบบร้ายๆ) ที่แทรกอยู่มากมายในเกมนี้ ซึ่งถ้าคุณเป็นคนชอบอนิเมชั่นเก่าๆแบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คุณจะพบว่ามันเต็มไปด้วยมุขเสียดสีอนิเมชั่นอื่นๆอยู่มากมาย นับว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจ และชวนให้ค้นหาต่อไปว่า Cuphead มันไปแซวเรื่องไหนและแซวอะไรไว้บ้าง
เกมเพลย์
Cuphead ไม่ได้เด่นเพียงแค่งานภาพเท่านั้น แต่ระบบการเล่นและการออกแบบ Stage ก้ทำออกมาได้น่าสนใจทีเดียว สำหรับระบบการเล่นนั้นหลักๆก็จะเป็นแนวแอคชั่นโดยเราสามารถเลือกลำดับ Stage ได้เองในฉากแมพของเกม (ไม่จำเป็นต้องเล่นเรียงกัน) โดยในแต่ละ Stage จะมีวิธีเล่นแตกต่างกันไป แบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1. Action – แนวแอคชั่นลุยด่านด้านข้างแบบ Contra และ Metal Slug อะไรแบบนั้น ให้ความรู้สึกแบบเกมยิงแบบคลาสสิค เรียบง่าย และตรงไปตรงมา
2. Boss Battle – เป็นแนวดวลกับบอสตัวต่อตัว ซึ่งใช้เวลานานมากกกกกก…กว่าจะผ่าน
3. Shoot Them Up – แนวขี่เครื่องบิน โดยเราต้องฝ่าดงกระสุนไปพร้อมๆกับปราบบอสที่สุดแสนจะอึดถึก
ตัวเกมมีระบบ “อัพเกรดอาวุธและสกิล” โดยต้องเก็บเหรียญ (ที่เก็บย๊ากยาก) ไปแลก ซึ่งอาวุธและสกิลที่แลกมา ต่างก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ดังนั้นสำหรับเกมนี้การเก็บสกิลต่างๆอาจจะไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่นัก หลักๆเกมนี้คุณจะต้อง “เอาชีวิตรอดด้วยฝีมือล้วนๆ” มากกว่า
สำหรับเกมนี้เราสามารถ Co-Op เล่นพร้อมกันได้ 2 คน ซึ่งเราจะสามารถช่วยเพื่อนกลับมาจากความตายได้ง่ายกว่าเล่นคนเดียวเยอะเลย แล้วมันยังช่วยดึงบรรยากาศเดิมๆของการนั่งเล่นเกม Co-Op ด้วยกันกับเพื่อนที่บ้านกลับคืนมาจากการเล่นแบบออนไลน์ด้วย ซึ่งเชื่อว่าหลายคนอาจจะลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว แต่มันเป็นความรู้สึกที่สนุกมากๆเลยล่ะ!!
และสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นที่โจษจันกันไปทั่ว ก็คือ “ระดับความยาก” ที่ต้องบอกว่า “ยากม๊ากกกกกก!!!” ระดับความยั้วเยี้ยของศัตรูนี่พอๆกับ Rockman ภาคแรกๆ แต่อันนี้ยากกว่าตรงที่คุณมีเพียงแค่ 3 Life เท่านั้น หมดแล้วหมดเลย แถมต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่แต่แรกด้วย ใครที่คิดว่าจะมาเล่นเพลินๆล่ะก็ไม่แนะนำเกมนี้อย่างยิ่ง!! คิดจะเล่นเกมนี้ต้องมาด้วยอารมณ์แบบว่า “งานนี้พี่ไม่ได้มาเล่นๆ” เท่านั้น!!
เทคนิคสำคัญในการเล่น Cuphead หลักๆเลยจะเป็นเรื่องของ “จังหวะและรูปแบบของศัตรู” ซึ่งแต่ละด่านก็จะมีสารพัดแพทเทิร์นออกมาให้เราปวดหัวกัน แถมแต่ละด่านไม่มี Save Point ให้ด้วยนะ!!! ตายทีเดียวคือต้องมานั่งเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด!! แต่ในความยากนี้เรารับประกันว่าคุณจะรักมันมากๆ เพราะ Stage Design ทำออกมาได้ดีและกวนทีนสุดๆด้วย แต่ไม่ว่าจะเสียเวลาเล่นไปนานสักกี่ชั่วโมง เชื่อว่าคุณคงจะเล่นต่อไปและไม่อยากวางจอยจนกว่าจะเล่นให้ผ่านนั่นแหละ
สรุป
ถ้าคุณไม่ใช่คนที่หลงใหลในเกมแอคชั่นลุยด่านมากๆ อาจจะรู้สึกว่าเกมนี้ยากเกินไป ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะเรียกว่าเป็นจุดด้อยก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าคุณรักเกมประเภทนี้เป็นทุนเดิม คุณจะพบว่าเกมนี้ถูกออกแบบมาเพื่อคุณจริงๆ อย่างไรก็ตามด้วยความพิถีพิถันในภาพและดนตรีที่ถูกบรรจงใส่มาให้ในราคาเกมที่ถูกแสนถูกนี้ เราน่าจะพอพูดได้ว่า Cuphead เป็นเกมที่ควรค่าแก่การหามาเก็บไว้ประดับบ้านจริงๆ
ใครที่สนใจก็สามารถหาซื้อได้จาก Steam และ Xbox ในราคาเพียง 370 บาท เท่านั้น ถูกและคุ้มค่ามากๆ!!