ออกมาได้สักพักนึงแล้ว บน PS4   ส่วนใน Stream ก็มีวางขายแล้วในโซนอื่นๆ ของไทยก็คงจะตามมาอีกเร็วๆนี้   เรากำลังพูดถึง NieR : Automata เกมสุดแนว… สุดเหงา… สุดเศร้า จับขั้วหัวใจ…   ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะออกมาชนๆกับกระแส Horizon Zero Dawn เลยอาจจะโดนแย่งซีนไปนิดหน่อย   ยังไงก็ตาม เราคิดว่า Nier : Automata ยังเป็นเกมที่ไม่ควรมองข้าม และทำออกมาได้น่าสนใจมากๆ มาดูกันดีกว่า ว่านอกจากกางเกงในของนางเอกแล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่จะทำให้คุณตื่นเต้นได้อีกบ้าง

แอนดรอยด์สาวในชุด กอธิค ลอลิต้า วับๆแวมๆตลอดทั้งเกม… หนุ่มๆก็ได้แต่ตาค้างกันไป…

ก่อนอื่นเราก็ต้องขอท้าวความสักเล็กน้อยว่า NieR : Automata นั้น อาจเรียกได้ว่าเป็นเกมภาคต่อของ NIER Gestalt (หรือ NIER Replicant ในภาคภาษาญี่ปุ่น) ที่ออกจำหน่ายไปตั้งแต่ปี 2010   แต่ถึงแม้ว่า คุณจะไม่เคยเล่นเกมในตระกูลนี้มาก่อนเลยก็ตาม คุณก็ยังสามารถที่จะสนุกไปกับเนื้อเรื่องของมันได้   หรือถ้าอยากจะเก็บรายละเอียดเนื้อเรื่องแบบลึกๆ ค่อยกลับมาเล่นทีหลัง ก็ไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสแต่อย่างใด

อันที่จริง ยังมีเกมอื่นๆอีก ที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับเกม NieR : Automata แบบอ้อมๆ อยู่ นั่นคือเกม Drakengard ทั้ง 3 ภาค (หรือ Drag-on Dragoon ในภาคภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งจะเป็นสาเหตุของความโกลาหลทั้งหมดทั้งมวลในซีรี่ย์ NIER ในเวลาต่อมา   ใครอยากจะเสพซีรี่ย์นี้แบบครบๆ ก็อย่าลืมตามกลับไปเล่นด้วยล่ะ

Drakengard และ NIER Gestalt ตามลำดับ ลองหามาเล่นกันดูได้นะ… แน่นอนว่าดาร์คสุดๆ…

เนื้อเรื่อง และ การดำเนินเรื่อง (9.5/10)

NieR : Automata เป็นเรื่องในอนาคตอันไกลโพ้น ที่อารยธรรมบนโลกได้ล่มสลายไปหมดแล้ว   เนื่องจากโลกได้ถูกยึดครองโดย Alien ที่มีอาวุธเป็นกองทัพเครื่องจักรที่เรียกกันว่า Machine กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก

ส่วนมนุษย์นั้น กลับต้องอพยพออกไปอยู่ที่ดวงจันทร์   และได้จัดตั้งหน่วยงานชื่อว่า YoRHa ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่กอบกู้โลกคืนเป็นหลัก   โดย YoRHa นั้นมีกองกำลังทั้งหมดเป็นหุ่น Android ที่มีความรู้สึกนึกคิด – อารมณ์ เป็นของตัวเอง

เนื้อเรื่องหลักๆโฟกัสไปที่ Android สาว ชื่อว่า 2B และ คู่หูชื่อว่า 9S ที่ถูกส่งมาเพื่อทำภารกิจกอบกู้โลก   โดยคำสั่งต่างๆนั้น จะถูกส่งมาจากศูนย์บัญชาการที่ลอยอยู่ในอวกาศ   ในช่วงแรกๆ เหตุการณ์ต่างๆก็ดำเนินไปตามปรกติ จนกระทั่งทั้งคู่ได้ไปพบกับ พฤติกรรมหลายๆอย่างที่ไม่ชอบมาพากลของ Machine   หลังจากนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดก็เริ่มอยู่เหนือการควบคุม   ภารกิจของทั้งคู่จึงไม่ได้หยุดเพียงแค่การแค่กอบกู้โลกคืนเท่านั้น   แต่ขยายออกไปถึงการสืบหาความจริงว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นบนโลกในนี้กันแน่ !

เวลาพวก Android เค้าพูดคุยกันเสร็จ เค้าจะตะเบ๊ะกันแบบนี้ พร้อมพูดว่า… Glory to the mankind… มนุษย์ชาติจงเจริญ… ฟังดูหลอนพิลึกๆว่ามะ

อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่า plot มันก็ไม่ได้พิเศษไปกว่า เกมแนว sci-fi เกมอื่นๆ   แต่ความแจ๋วของ NieR : Automata นั้นอยู่ที่บรรยากาศ และ วิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจมากๆ อย่างแรกเลยคือ ข้อมูลความเป็นไปของโลกทั้งหมดนั้น เราจะได้รับรู้ จากเพียงคำบอกเล่าของบุคคลากรในองค์กร YoRHa เท่านั้น   ซึ่งมันจะชวนให้เราสงสัยตลอดทั้งเกมว่า สิ่งที่ YoRHa กำลังทำอยู่ มันถูกต้องจริงๆหรือเปล่า ?   เพราะว่าสิ่งที่เราเห็นหลายๆอย่างในเกม มันขัดแย้งกับข้อมูลที่ได้มาตั้งแต่แรกอย่างชัดเจน   ส่วนนี้เองที่กระตุ้นให้ผู้เล่นรู้สึกอยากจะร่วมค้นหาความจริงไปพร้อมๆกัน และยังมีส่วนช่วยเสริมบรรยากาศอันน่าอึดอัด หวาดระแวง เพิ่มขึ้นอีกด้วย

พฤติกรรมประหลาดๆของ Machine อย่างเช่น คลั่งลัทธิอย่างไม่ลืมหู ลืมตา (คุ้นๆเนาะ เหมือนประเทศแถวๆนี้เลย) เราก็จะได้เห็นในเกมนี้…

ถึงภายนอกของเกม จะเป็นเรื่องแนว sci-fi โลกอนาคต แต่ความจริงแล้ว NieR : Automata กำลังพูดถึงเรื่องจิตใจของมนุษย์นี่แหละ !   ตัวเกมตั้งคำถามใหญ่ๆกับผู้เล่นบ่อยครั้ง เกี่ยวกับ ความหมาย และความสำคัญของการมีชีวิตอยู่  เช่น การที่ตัวละครที่เป็น Android นั้นจะสามารถ Upload ความทรงจำของเราลงไปใน Server ได้ทุกเมื่อ   แปลว่าการตายของ Android ในเกมนั้น ไม่มีความหมายอะไรเลยหรือเปล่า ?

นอกจากนั้น เกมยังแดกดันสังคมมนุษย์ ผ่านพฤติกรรมเพี้ยนๆของ Machine ที่เกมจะบอกเรามาตลอดว่ามันไม่มีอารมณ์-ความรู้สึกหรอก รีบๆจัดการมันเถอะ   แต่หลายครั้ง ที่คุณจะได้เห็นมัน หัวเราะ… มีความสุข… เหงา… ซึมเศร้า… ร้องไห้… ร้องขอชีวิต… ไปจนถึง ฆ่าตัวตาย…   เรียกได้ว่ามันดูจะมีความเป็นมนุษย์มากกว่ามนุษย์ในเรื่องเองเสียอีก

อันนี้เป็นสวนสนุกที่ Machine ที่เพิ่งจะสู้กับเรามาเมื่อกี๊ เข้ามาพักผ่อนหย่อนใจหน้าตาเฉย… หลอนสุดๆ…

บรรยากาศโดยรวมในเกม เต็มไปด้วยความอึมครึม เศร้า สิ้นหวัง และ เหงา อย่างบอกไม่ถูก แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะได้เห็นมุขตลก(ร้าย) โผล่ออกมาให้เราได้ขำเจื่อนๆอยู่เป็นระยะๆ ทุกคำพูดคำจาที่ออกมาจากในเกม ถูกคิดมาด้วยความปราณีตสุดๆ ทั้งหมดนี้เป็นอะไรที่น่าจะโดนใจแฟนๆ anime ของฝั่งญี่ปุ่นอยู่พอสมควร

Machine ที่กำลัง… กล่อมลูก…

ทีเด็ดอีกอย่างของเกมนี้ก็คือ NieR : Automata มีฉากจบอยู่ถึง 26 แบบด้วยกัน !!! (ความจริงก็มีแค่ 5 แบบล่ะนะ ที่เหลือเป็นแนวขำๆมากกว่า)   แต่ที่มันเจ๋งไปกว่านั้นก็คือ หลังจากที่คุณเล่นจบรอบแรกไปแล้ว   การเล่นในรอบที่สอง มันจะไม่ใช่เกมเดิม !!!   แต่มันจะเป็นการเล่าเหตุการณ์ในรอบแรก ผ่านสายตาตัวละครอื่นๆ ซึ่งแม้แต่วิธีการเล่นก็จะไม่เหมือนเดิม   และถึงแม้จะเป็นการเล่นในรอบที่สองก็ตาม คุณก็จะไม่รู้สึกเบื่อเลย ตรงกันข้าม กลับจะยิ่งได้พบกับข้อมูลใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจะเล่นให้ถึงรอบถัดไปไวๆ   ตรงนี้เป็นการเล่าเรื่องที่แปลก แต่ก็น่าติดตามมากๆ   ต้องขอยกเครดิตให้กับ ผู้กำกับขี้แกล้ง นาย Yoko Taro คนนี้ละกัน ที่ไม่บอกอะไรเรามาเลย แต่หลอกล่อให้เราเข้าไปเล่นเกมเดิมซ้ำไปซ้ำมาได้ (ซึ่งสนุกดีนะ)

ตาลุง Yoko Taro ในหน้ากากคนนี้นี่แหละ… เป็นผู้กำกับจอมแกล้งคนเล่น… (จะใส่หน้ากากทำไมไม่ทราบ)

ผู้เขียนแนะนำว่า ถ้าจะเล่นให้สนุก อย่าไปตั้งเป้าว่าจะต้องเก็บทุกฉากจบให้ได้   ให้หลีกเลี่ยงการสปอยล์เนื้อหา และเล่นไปตามสัญชาติญาณก็พอ   แล้วคุณจะได้สัมผัสกับอรรถรสที่แท้จริงของเกมนี้ (ซึ่งจริงๆมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรนะ เล่นๆไปเดี๋ยวก็ได้ฉากจบหลักๆครบเอง)


ระบบการเล่น (8.5/10)

ตั้งแต่เกมนี้ออกมาโปรโมทในช่วงแรกๆ   เราก็ทราบมาว่า เกมนี้ถูกพัฒนาโดย ทีม PlatinumGames ซึ่งเป็นทีมเดียวกับทีมที่พัฒนาเกม Bayonetta นำมาสู่ความคาดหวังว่ามันอาจจะเป็นเกมสไตล์บู๊ล้างผลาญ   แต่ไม่เลย Nier : Automata ถูกออกแบบมาให้ใช้ skill ในการเล่นพอสมควร   อาจจะไม่ได้ยากถึงขั้นเกมตระกูล Souls ทั้งหลาย   แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่กดมั่วๆแล้วจะรอด เพราะศัตรูจะรุมทึ้งเข้ามาทุกทิศทุกทาง ชนิดที่คุณตั้งตัวแทบไม่ทัน

ยกโขยงมาเป็นพรวนแบบนี้ ไม่ใช่ว่ามั่วๆไปก็ได้นะครับ…

ภาพรวมของเกมยังคงเป็นแนว action/RPG มุมมองแบบบุคคลที่ 3   ในโลกแบบ Open world ที่ดูแล้วเหมือนจะกว้างใหญ่ไพศาล   แต่จริงๆแล้วเล่นไปสักพักคุณก็จะสามารถวิ่งไปไหนมาไหนแบบไม่ต้องดูแผนที่ได้เลย   สำหรับคนที่ขี้เกียจวิ่ง เกมก็มีจุดวาร์ปเตรียมไว้ให้ (หน้าตาเหมือนตู้ขายเครื่องดื่มกระป๋อง) แต่ส่วนตัว จะชอบวิ่งมากกว่านะ อยากใช้เวลากับ 2B นานๆ (อิๆ)

วิ่งเข้าลูก… ไกลสุดลูกหูลูกตาเลย…

ระบบการต่อสู้นั้น หลักๆจะเลือกถืออาวุธได้ทีละ 2 อัน จากหลายๆชนิด คุณสมบัติของอาวุธแต่ละชนิด ก็จะแตกต่างกันไป   แถมยังมีตัวช่วย เป็นหุ่นยนต์ที่ยิงอาวุธจากระยะไกลได้ เรียกว่า POD อีกด้วย   ซึ่งทั้งอาวุธ และ POD ก็สามารถเก็บเงิน และ ไอเทม มาอัพเกรดได้เรื่อยๆ

ตอนสู้กันก็สะใจดีนะ โดยเฉพาะเวลาเข้าไปบวกกับตัวใหญ่ๆ หรือไม่ก็ตัวเล็กๆหลายๆตัว…
วิ่งไป… หลบกระสุนไป… ยิงด้วย POD ไป… ฟันศัตรูไป… ก้นับว่าเกมหลากหลายพอสมควรนะ

ในบางสถานการณ์   ตัวเกมจะตัดสลับไปเป็นเกมแนว 2D shooting และ ลุยด่าน 2.5D แทนซะอย่างงั้น   เราไม่คิดว่า มันเป็นเพียงแค่ mini-game นะ เพราะมันเกิดขึ้นบ่อย และนานมากๆ และในบางฉากมันก็บังคับเรา ให้เล่นให้ผ่านด้วย   ส่วนนี้ก็อาจจะนับว่าเป็นข้อดี ในแง่ความหลากหลาย   แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบก็อาจจะมึนๆ และ เสียอารมณ์ได้   โดยเฉพาะส่วน 2D shooting ที่ห่ากระสุน กระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง

ชอบมีฉาก 2D Shooting สไตล์ Bullet Hell หรือ แนวห่ากระสุน มาให้เล่นเป็นพักๆ (ยากเหมือนกันนะ)

นอกจากอัพเกรดอาวุธได้แล้ว เรายังสามารถซื้อ Chip มาอัพเกรดความสามารถด้านต่างๆของเราให้สูงขึ้นได้ด้วย   ซึ่งก็ซับซ้อนพอสมควรนะ แต่ก็ไม่ได้จำเป็นอะไรมาก   ถ้าจะเล่นเนื้อเรื่องอย่างเดียว เลือกแบบ automatic ไปเลยก็ได้ (แต่ควรหมั่นเข้ามาอัพเรื่อยๆ ถ้าเก็บ Chip ใหม่ๆได้)

สามารถเอา Chip ที่ได้มาอัพเกรด skill ได้ (ผู้เขียนกด auto ตลอดเลย ขี้เกียจคิด)

ส่วนระบบ save ของเกมนี้ จะไม่มีระบบ auto save เราจำเป็นต้องสังเกตุเอาเอง ว่าจุดไหนสามารถ save ได้   (จะมีสัญลักษณ์ขึ้นบนจอบอกเอาไว้) ส่วนใหญ่ก็อยู่ใกล้ๆกับตู้วาร์ปนั่นแหละ   ลืมเซฟทีเดียวก็เริ่มใหม่เลยนาจา

นอกจากนี้ ตัวเกมยังมีระบบที่ ถ้าเราตาย ศพของเราจะถูกทิ้งไว้ที่นั่น จนกว่าจะเล่นครั้งต่อไป โดยที่เราจะสามารถเข้าไปเก็บกู้ศพ เพื่อเอาไอเท็มต่างๆกลับคืนมาได้ด้วย หรือจะซ่อมให้กลับมาเป็นตัวช่วยเราก็ได้   และแน่นอน ถ้าคุณตายซ้ำสอง ในระหว่างไปเก็บกู้ ไอเทมทั้งหมดก็จะมลายหายไปสิ้น   ทั้งนี้ ถ้าคุณเปิดระบบออนไลน์ คุณก็จะสามารถเก็บกู้ศพคนอื่นๆที่เล่นเกมนี้อยู่พร้อมๆกับเราได้ด้วย

สามารถเอาศพชาวบ้านมาช่วยสู้ได้ด้วยนะ (ตัวขวามือ)

ที่ชอบอีกอย่างก็คือ ระบบ sub-quest ที่ออกแบบมาได้สนุกมาก เนื้อเรื่องในทุกๆ sub-quest จะโยงเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักอยู่เสมอ   ทำให้การเก็บ sub-quest ของเกมนี้ ดูมีความหมายขึ้นมา มากกว่าทำไป เพื่อเก็บไอเทม หรือ exp ซึ่งเนื้อเรื่องของมัน ก็มักจะดาร์ค และเศร้าเสมอ แต่ก็น่าติดตามมากๆ


กราฟฟิค และ การออกแบบ (7/10)

ส่วนนี้อาจจะมองได้ว่าเป็นส่วนที่ด้อยที่สุดของเกมนี้   กราฟฟิกออกมาดูแข็งๆ แห้งๆ ยังไงก็ไม่รู้   ถึงจะบอกว่าเนื้อเรื่องมันเป็นโลกอนาคตที่แห้งแล้งอยู่แล้วก็เถอะ   แต่มันก็ถูกทดแทนได้ด้วยการออกแบบบรรยากาศ มุมมอง และ คาแร็คเตอร์ที่สวยงาม ที่ผสมกับความหลอน และน่ากลัวเข้าไปด้วย   ซึ่งช่วยส่งเสริมบรรยากาศของเกมได้เป็นอย่างดี

กราฟฟิคในขณะต่อสู้กันทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลย จังหวะที่กองทัพ Machine วิ่งเข้ามาพร้อมๆกันหลายๆตัว หรือแม้แต่ตอนงัดกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ ก็ยังลื่นไหลไม่มีสะดุด สามารถต่อคอมโบได้อย่างไม่เสียอารมณ์

ศัตรูบางครั้งก็ตัวใหญ่ม๊ากกกก… ก็ยังถือว่าเล่นแล้วไม่สะดุดเท่าไหร่นะ

สำหรับแฟนๆ anime ฝั่งญี่ปุ่น ก็คงที่จะทำใจไม่ให้หลงรักไปกับคาแร็คเตอร์ 2B และ 9S ได้ยากอยู่นะ เพราะสองคนนี้เค้าหยอดกันไป หยอดกันมาตลอด   รู้ตัวอีกทีก็คอยแอบลุ้นให้สปาร์คกันเสียแล้ว   (แหมคนนึงก็ซึนฯที่สุด อีกคนนึงก็อ้อล้อไม่ยอมหยุด)   แต่สำหรับคนที่ไม่ถนัดแนว anime อาจจะเกลียดไปเลยก็ได้   เพราะมันมีความหลอนประหลาดๆโผล่มาให้เห็นอยู่ตลอดทั้งเกม

ขอตินิดนึงเกี่ยวกับระบบกราฟฟิกต่างๆ ที่ดูแล้วค่อนข้างยาก โดยเฉพาะแผนที่   เข้าใจอยู่นะว่าตั้งใจจะทำออกมาให้ดูเหมือนคอมพิวเตอร์ แต่มันก็ใช้งานยากจริงๆนั่นแหละ

จากซ้ายไปขวา 9S และ 2B คาแร็คเตอร์ที่ออกแบบมาดูเท่… sexy… และดูจิตๆ ไปด้วยพร้อมๆกัน…
A2 หุ่น Android หัวขบถที่หนีออกมาจากกลุ่ม YoRHa แถมยังโดนล่าหัวอยู่อีกตะหาก แต่จะเพราะอะไรนั้น เราไม่เล่าหรอก อิๆ… (คนนี้แซ่บ)
Devola และ Popola หุ่น Android ฝาแฝดที่เห็นหน้ามาตั้งแต่เกม NIER gestalt แล้ว… มาโผล่ที่นี่ได้ยังไงหว่า ?
Emil อีกตัวละครประหลาดที่โผล่มาจากภาค Gestalt…
Adam และ Eve สิ่งมีชีวิตประหลาดที่เกิดมาจาก Machine… หนึ่งในเรื่องพิลึกพิลั่นที่คุณต้องไปดูเอาเอง เดี๋ยวเล่าแล้วสปอยล์
Nier
บางครั้ง Machine มันก็ดูเหมือนจะเป็นสัตว์มากกว่าหุ่นยนต์… อย่างอันนี้ดูน่าขยะแขยงด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเสียงกรีดร้องของมัน

ลูกกระจ๊อกในเกม จะหน้าตาประมาณนี้แหละ เป็นหุ่นกระป๋องที่เรียกว่า Machine… นั่ลล๊ากกกก
พอเป็นบอส ดีไซน์ก็อลังการอยู่นา…

ดนตรีประกอบ (10/10)

สำหรับผู้เขียน ส่วนที่ดีที่สุดของเกมนี้ ยกให้ดนตรีประกอบที่ทำหน้าที่ของมันได้ดีที่สุด เท่าที่ดนตรีประกอบเกมจะสามารถทำได้   เช่นเดียวกับ NIER Gestalt ที่ถ้าลองฟังเพลงประกอบดู เราจะไม่ทราบเลยว่าเพลงมันร้องว่าอะไร นั่นก็เพราะผู้ออกแบบต้องการที่จะทำดนตรีให้เป็นภาษาสมมติที่เกิดขึ้นในยุคที่อารยธรรมล่มสลายไปแล้ว   ต้องขอขอบคุณ คุณ Keiichi Okabe และ Keigo Hoashi ผู้ออกแบบและเรียบเรียงดนตรีประกอบ   ที่มอบความสุขให้กับผู้เล่นผ่านเสียงดนตรีแสนไพเราะของเกมนี้


สรุป (9/10)

ถึงแม้ในด้านระบบการเล่นจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มากนัก (ยกเว้นการเปลี่ยนไปเล่นแบบ 2.5D ได้ ซึ่งก็ยังดูไม่ค่อยลงตัวในบางที) และ คุณภาพของภาพอาจจะค่อนไปทางแย่ ถ้าเทียบกับเกมที่ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน

แต่ด้วยคาแร็คเตอร์ดีไซน์ที่เท่ สวยงาม แต่ก็ดูจิตๆไปพร้อมๆกัน…   บรรยากาศสุดเศร้า เหงาหงอย น่าอึดอัด แต่ก็งดงาม…   เพลงประกอบอันยอดเยี่ยม…   เนื้อเรื่องที่ลุ่มลึก กัดกินหัวใจไปนานแสนนาน แม้กระทั่งเล่นจบไปแล้ว… ทั้งหมดนี้คือส่วนที่ดีมากๆของ NieR : Automata ที่ทำให้เรามองข้ามข้อเสียต่างๆลงไปได้   ยิ่งถ้าคุณมีพื้นฐานในการดู Anime ติสแตก ของทางฝั่งญี่ปุ่นอยู่แล้ว (ประมาณ Evangelion น่ะ)   คุณคงจะหลงรักเกมนี้ได้ไม่ยากนัก (แนะนำให้รีบเคลียร์รอบแรกให้จบ ไม่น่าเกิน 15 ชม. เพราะความสนุกจะรอคุณอยู่ที่การเล่นรอบที่สองขึ้นไป !!!)

…แต่ถ้าคุณคิดที่จะหาเกมแนวคลายเครียด   เล่นเพื่อความมันส์ สะใจล้วนๆ แบบ Bayonetta เกมอาจจะไม่ใช่เกมที่เหมาะสมกับคุณสักเท่าไหร่นัก…

Facebook Comments