“ไม่ว่าจะเคย หรือไม่เคยเล่น ซีรี่ย์นี้ก็ตาม ขอแค่ได้ลองเล่น Soul Calibur VI ซัก 2-3 ชั่วโมง ก็ทำให้อินกับเกมแนว Fighting ได้เลย”
เล่าก่อนเริ่ม
บอกก่อนว่า ส่วนตัวผู้เขียนเป็นสาย Fighting อยู่แล้ว แต่เคยจับ ซีรี่ย์นี้มาแค่ 2 ภาค คือ Soul Calibur: Broken Destiny (PSP) และ Soul Calibur IV ก็เลยพอมีความหลังกับเกมนี้มาบ้าง มีทั้งดีและแย่ปะป่นกันไป แต่ภาคนี้จะทำให้ความรู้สึกพวกนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
GAMEPLAY: เข้าใจง่ายและลึกล้ำในเวลาเดียวกัน
สิ่งสำคัญที่สุดของเกมประเภทนี้ คือระบบการควบคุม ต้องเข้าใจง่ายในขั้นเริ่มต้น และลึกล้ำในลำดับต่อไป ซึ่งเกมนี้ทำออกมาได้ ยอดเยี่ยม ขอเปรียบเทียบกับ Tekken เลยละกัน เพราะมี Mechanic ที่คล้ายกัน มีการโจมตีแบบ Hight-Mid-Low แต่ Soul Calibur นั้นเข้าใจง่ายกว่าเยอะ เกมนี้ จะมีการโจมตีพื้นฐานอยู่ 3 แบบ คือ โจมตี แนวราบ และแนวดิ่ง และปุ่มคู่ที่ต้องกดพร้อมกัน เช่น ท่าพิเศษ และการจับหรือโยนต่างๆ นอกจากนั้นก็จะเป็นปุ่มป้องกัน ซึ่ง Tekken จะเป็นการกดถอยหลัง แต่ Soul Calibur ต้องกด X กันนะ (แรกๆด้วยความเคยชิน ผู้เขียนก็โดนซัดยับอยุ่ครับ ฮ่าๆ) ตัวละครทุกตัวจะใช้พื้นฐานการควบคุมแบบเดียวกันหมด จึงทำให้เราค้นหาตัวโปรดเราได้ไม่ยากเลย สำหรับผู้เล่นที่ไม่เคยชินกับเกมแนวนี้ก็ไม่ต้องห่วงเลย เพราะมี Training ที่จะสอนเราในขั้นพื้นฐานต่างๆจนถึง Advance เลยทีเดียว
Reversal Edge & Soul Charge: สุดยอดท่าพลิกเกม
Reversal Edge – คือท่าที่สามารถใช้ Counter คู่ต่อสู้ได้ จากนั้นจะเป็นการตัดเข้า Cut Scene สั้นๆให้แต่ละฝั่งเลือกใช่ท่าโจมตีของตัว ตามรูปแบบ ค้อน-กรรไกร-กระดาษ ซึ่งเป็นการวัดดวงอย่างแท้จริง ฝ่ายไหนที่กดได้ชนะทางก็จะสร้าง Damage ให้กับอีกฝ่ายได้ หรือแม้กระทั่ง เลือกที่จะ กัน หรือ หลบ ท่าโจมตีของอีกฝ่ายได้ และเมื่อ Reversal Edge จบลงก็จะมีโอกาสพลิกเกมได้เลย
Soul Charge – เป็รการใช้หลอดพลังที่เราสะสมมาในระหว่างการต่อสู้ (เต็มที่ 2 หลอด) สามารถเลือกการใช้ได้ 2 แบบ คือการใช้บัฟพลังให้ตัวละครเพื่อเพิ่ม Damage และ Speed ได้ชั่วคราว หรือการใช้ Critical Finishes เป็น Cut Scene ท่าไม้ตายที่จะสร้าง Damage รุนแรงขนาดที่จะปิดเกมได้เลย (เหมือน Tekken7)
STORY: เล่นก็ดี…แต่ไม่เล่นจะดีกว่า
เอาตรงๆผู้เขียนเวลาเล่นเกม Fighting จะไม่ค่อยสนใจ Story Mode ซักเท่าไหร่ เกมนี้ก็เช่นกัน เข้าไปเล่นโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก ซึ่งผลก็ออกมาตามนั้น วีธีการเล่าเรื่องนี่ “เห่ยสุดในรุ่น” เลยเมื่อเทียบกับเกมอื่นๆในสมัยนี้ หลงยุคแบบงงๆ เนื่อเรื่องก็เรียบง่าย (จนอยากจะ Skip รัวๆ แล้วซัดกันสักทีเถอะ) ตัวเกมใช้ภาพแบบกราฟิกโนเวล (แบบขี้เกียจวาด) บวกกับ Text บทพูดของตัวละครทั้งหมดที่ชวนง่วงสุดขีด แต่ก็อย่างที่กล่าวมา ความสนุกของเกม Fighting ไม่ได้อยู่ที่ Story…
แต่ข้อดีก็มีอยู่บ้างตรงที่ ตัวเกมให้อิสระในการเลือกติดตาม Story ของแต่ละตัวแบบแยกกันหรือจะไล่ไปตาม Timeline ของเนื้อเรื่องตามลำดับเหตุการณ์ ก็ย่อมได้ นอกจากนี้สิ่งที่ประทับใจอีกนิดนึงของ Story Mode ก็คือ Geralt จาก The Witcher ตัวเกมสามารถใส่เขา เข้าไปใน Story อย่างแยบยล มีเนื้อเรื่องที่เข้ากันได้กับตัวละครอื่นๆใน Timeline ได้อย่างดี ทำให้ไม่รู้สึกเหมือนเขาเป็นตัวเสริมจากเกมอื่นเลย
NETWORKING: ทำใจ…เน็ทเขาเน่า เกมเราก็กระตุก
ปัจจัยสำคัญสำหรับเกม Fighting สมัยนี้ คือการได้ท่องยุทภพ พบเจอกับผู้เยี่ยมยุทในใต้หล้า แต่ถ้าเน็ทของจอมยุทผู้นั้นเน่าหละ…จบ Delay + Lag อย่างให้อภัยไม่ได้ แต่อย่าเพิ่งหมดหวังไป เพราะในโหมด Online เราสามารถเลือก Server จะให้เป็น Server เดียวกันหรือต่าง Server ก็ได้ และก็สามารถเลือกระดับความเสถียรของคู่ต่อสู้ได้ แต่ต้องใช้เวลานิดหน่อยกว่าจะหาผู้เล่นที่มีความเสถียรพอ
CHARACTERS CREATION: ปลดปล่อยจินตนาการให้ถึงขีดสุด!!
โหมดนี้คือส่วนที่กินเวลาเล่นอย่างมากที่สุด ผู้เขียนขลุกอยู่กับการสร้างตัวละครถึง 4-5 ชั่วโมง (ได้แค่2ตัว ฮ่าๆ) เริ่มตั้งแต่เลือกเผ่าพันธ์ที่ไม่ใช่มนุษย์อีกมากมาย (กิ้งก่า, มัมมี่, โครงกระดูก ฯลฯ) จนถึงเพิ่มอวัยวะบางอย่างเข้าไปได้ (เอาเป็นว่าไม่เพิ่มจะดีกว่า แหะๆ) และสามารถแต่งแต้มสีสัน ลวดลายตามแต่ใจเราจะปรารถนาเลย ส่วนของอาวุธและ สไตล์การต่อสู้ต้องเลือกจากตัวละครต้นฉบับ (อาจจะสร้างสาวน้อยตัวเล็กๆมาถือดาบยักษ์แบบไม่สมเหตุสมผลก็ได้)
Libra of Soul – อีกโหมดหนึ่งที่ผสมการดำเนินเกมแนว RPG เข้ามาทำให้ตัวเกมได้ความรู้สึกอีกฟิวนึง แต่เหมือนจะดี สุดท้ายตกม้าตาย เพราะเทคนิคการเล่าเรื่องไม่ต่างอะไรจาก Story Mode เลย ภาพกราฟิคแบบลวกๆ บวกเสียงภาคที่ฟังดูตื่นเต้นก็จริง แต่ก็ชวนง่วงอยู่ดี ในอีกใจนึงก็รู้สึกว่า ไม่ต้องไมีก็ได้นะ โหมดนี้ รู้สึกไม่คุ้มราคาขึ้นมาทันที เพราะซื้อเกม Fighting มาแต่กับมาเจอโหมด RPG สาย Fighting อย่างผู้เขียนเลยรู้สึกผิดหวังหน่อยๆ
GRAPHIC&MUSIC: ดั่งเทพนิยาย Effect กระจายจนแสบตา
Graphic – ไม่ต้องพูดเยอะ สวยงามตามท้องเรื่อง ไม่กิน Spec มากเท่าไหร่ แต่ในบางทีการที่มี Effect แสงสีมากจนเกินไป ทำให้เรา งง กับจังหวะการต่อสู้ได้ในบางที
เพลงประกอบ – เป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ซึ่ง Soul Calibur IV ก็มีเพลงประกอบมากมาย แต่ละเพลงสามารถสร้างบรรยากาศได้เป็นอย่างดี ยิ่งถ้าใส่หูฟังเล่น ยิ่งรู้สึกว่าเพลงพื้นหลังในแต่ละฉากนี่เข้ากับสถานที่เอามากๆ เพิ่มอรรถรสได้เป็นอย่างดี
สรุป:
Soul Calibur VI เป็นเกมสำหรับ “Fighting Starter Pack” ก็ย่อมได้ ผู้เขียนประทับใจกับความเข้าถึงง่าย เข้าใจง่ายในระบบการเล่น และสามารถต่อยอดสู้เทคนิคการต่อสู้ขึ้นปรมจารย์ได้อย่างนุ่มลึก สนุกจนเพลิน เป็นอีกหนึ่ง เกม Fighting ที่ไม่แพ้ เกมอื่นเลย ถึงผู้เขียนจะเฉยๆกับ Story Mode เพราะไม่ได้หวังอะไร แต่ Libra of Soul ทดแทนได้จากความเป็น RPG ที่เพลินไปอีกแบบ บวกกับการสร้างตัวละครที่ผู้เขียนใช้เวลากับโหมดนี้ไปเยอะมาก
ควร/ไม่ควรซื้อ:
ควรซื้อถ้า…
- ชอบเกม Fighting อยู่แล้ว
- เป็นแฟน Soul Calibur จะไม่ผิดหวัง
- อยากลองเริ่มเล่นเกมแนว Fighting
ไม่ควรซื้อถ้า…
- รู้สึกว่าราคา(เปิดตัว) ไม่คุ้มเท่าไหร่
- เป็นคนชอบเสพเนื้อเรื่อง