[Review] Dragon Quest XI สานต่อตำนานผู้กล้า แฟนตาซีตำหรับ Toriyama!

Dragon Quest คือซีรี่ย์เกม RPG ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก แล้วก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่มีกลุ่มแฟนเกมติดตามอยู่เยอะเช่นกัน และตำนานการผจญภัยบทใหม่ของผู้กล้าและผองเพื่อนกำลังจะเปิดม่านขึ้นใน Dragon Quest XI ที่ได้ฤกษ์วางจำหน่ายบนทั้งเครื่อง PC, Console และ Handheld วันนี้ทาง Gaming Room หลังจากโชคดีได้เล่นเกมนี้กันไปอย่างเมามันส์ลืมวันลืมคืน จะมาบอกเล่าความรู้สึกของเกมนี้ให้ฟังกันครับ

PLOT

จากเด็กหนุ่มชาวบ้าน…

คนที่เคยเล่น Dragon Quest มาก่อนน่าจะเดาทางพล๊อตเรื่องได้ไม่ยากนัก กับแนวเรื่องฮีโร่ในตำนาน รวบรวมผองเพื่อนจัดปาร์ตี้สู้จอมมารกู้โลก อาจจะมียิบย่อยแตกต่างกันบ้างแต่ทุกๆภาคก็จะมีโครงเรื่องทำนองนี้ตลอดจนเหมือนกลายเป็นธรรมเนียมของ Dragon Quest ไปแล้ว แต่ผมไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องไม่ดีนะครับ เพราะการที่เนื้อเรื่องมาสไตล์เดิมๆแบบนี้มันทำให้การเล่าเรื่องโฟกัสที่ตัวละครให้โดดเด่นขึ้นมาก แต่ละคนมีเอกลักษณ์และนิสัยของตัวเอง ตลอดการเล่นผมจึงรู้สึกเหมือนเป็นฮีโร่ในการเดินทาง ผูกสัมพันธ์กับสหายร่วมเดินทางเหล่านี้ครับ

สู่ Darkspawn มีคนหมายหัวทั้งปฐพี (มาไกลจริง)

Dragon Quest XI ผู้เล่นรับบทเป็นเด็กหนุ่มในหมู่บ้านชนบทห่างไกล ใช้ชีวิตแสนสงบสุขไร้ความวุ่นวายไปกับเพื่อนสมัยเด็ก จนมาวันหนึ่งรอยปานแดงปริศนาที่อยู่บนมือของเราได้ตื่นขึ้น ทำให้เรารู้ว่าตัวเรานั้นไม่ใช่เด็กชาวบ้านธรรมดา แต่คือ Luminary ผู้ถูกเลือกจากความเชื่อในตำนานที่จะมาปัดเป่าความชั่วร้ายจากโลกใบนี้ นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราตัดสินใจออกผจญภัย แต่ทว่าแทนที่เราจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในฐานะผู้ถูกเลือก กลับถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนอกรีตฝักใฝ่ความมืด (Darkspawn) และถูกไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย

ถึงตัวจะเป็นเด็ก..แต่สมองเป็นผู้ใหญ่ ชื่อของฉันคือ โคนั- เอิ่ม Veronica!!

โชคดีที่ระหว่างทางเรายังได้เพื่อนร่วมทางที่เชื่อใจได้ มาช่วยเหลือในภารกิจตามหน้าที่ของ Luminary และในขณะเดียวกันก็ต้องกู้ชื่อเสีย(ง) ของเรากลับคืนมาด้วย

Gameplay

เกมเพลย์ของ DQ11 นั้นยังคงเป็น Turn-Based เช่นเดิม เพิ่มเติมคือคราวนี้การผจญภัยจะเป็นรูปแบบของ Semi-Openworld คล้ายเกมซีรี่ย์รุ่นพี่อย่าง FFXIV (ออนไลน์ MMO) หรือ FF12 แผนที่กว้างขวางคั่นด้วย Loading Screen เต็มไปด้วยเควส, ปริศนา และสมบัติให้เราได้เสาะหา การเผชิญหน้ามอนสเตอร์ในเกมนี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากการเจอแบบสุ่ม (Random) เมื่อเดินไปเรื่อยแบบเกม RPG ในอดีต คราวนี้เหล่ามอนสเตอร์จะปรากฎให้เราเห็นเลย และจะเข้าต่อสู้ก็เมื่อเราเดินไปชนหรือเข้าไปฉะกับมันก่อนครับ ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นแนวทางที่ดี ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาสู้มอนฯ ทุกๆ 3 ก้าวเดิน อยากเก็บเวลก็สู้ ถ้าไม่ก็วิ่งหนีผ่านไปเลยก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากเกมนี้แผนที่ค่อนข้างกว้าง การที่จะเดินเท้าไปมาหรือแวะโรงเตี้ยมในหมู่บ้านก็ทำได้ลำบาก…

ตีดาบเพลินจนลืมไปเลยว่าเป็นฮีโร่กำลังกู้โลก 55+

ในเกมจึงมีม้าให้เราขี่เพื่อไปมาได้สะดวก และจุด “Campfire” ให้เราได้พักฟื้นพลัง, Save, ซื้อขายของกับพ่อค้าหาบเร่ และผลาญเวลาไปกับการตีบวกอาวุธ/ชุดเกราะ ด้วยเตาหลอมเคลื่อนที่เพลินจนผมเองก็ลืมๆไปบางครั้งว่าตัวเองคือฮีโร่ในภารกิจปราบจอมมาร หรือพ่อค้าอาวุธเถื่อนกันแน่ ตีดาบหลอมโล่เย็บเสื้อขายเป็นงานหลัก อย่างไรก็ตามหลังจากเล่นไปได้สักพักใหญ่ผมรู้สึกว่า DQ11 การคอนโทรลตัวละครยังดู “แข็ง” เดินยังเป็นปู 4 ทิศเกินไปไม่ค่อย Smooth เมื่อเทียบกับเกม RPG อื่นๆที่คอนเซ็ปคล้ายๆกันอย่าง FF15 หรือแม้แต่เกมอย่าง DQ Warrior ที่การเคลื่อนที่ดูลื่นไหลกว่าครับ

แผนที่พร้อม ตัวช่วยพร้อม เล่นง่ายจริงไรจริง

โหมดการต่อสู้นั้นก็มีการปรับปรุงจากเดิมให้ดีขึ้น โดยเฉพาะ Option มุมกล้องที่ให้เราเลือกแบบ Classic ที่จะ Fix มุมกล้องไว้ให้เราเลือกคำสั่งแบบเกม RPG ในอดีต กับมุมกล้องแบบใหม่ที่ให้เราสามารถบังคับตัวละครเดินไปเดินมาได้ด้วย ซึ่งก็จะส่งผลกับการใช้ทักษะ Skill/เวท บางชนิดที่หากเราวาง Position ตัวละครดีๆจากที่จะซัดโดนแค่ตัวเดียวก็อาจโดนทีหลายตัวก็ได้ แต่ส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันงงๆ และไม่ค่อยชินเลยใช้เป็นแบบ Classic แทนครับ

Ultra Instinct!! เอ้ย! พลังมิตรภาพ!

ใน DQ11 จะมีทักษะพิเศษที่เรียกว่า “Pep Power” ตัวละครในทีมเราทุกคนเมื่อสู้ไปสักพักหนึ่งจะระเบิดพลังซูเปอร์ไซย่า (ฮา) เป็นออร่าสีฟ้าออกมา โดยแต่ละคนจะมีพลัง Pep Power แตกต่างกันไป แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือหากในการต่อสู้นั้นๆเรามีสมาชิกทีมที่ระเบิดพลัง Pep ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปจะสามารถทำ Tag Team Attack ที่รวมพลัง Pep ของสมาชิกในทีมเข้าด้วยกันเป็นการโจมตี/Buff/Debuff ที่ทรงพลังแตกต่างกันไปแล้วแต่ว่าเราผสม Pep ของใครเข้าไปบ้างครับ

ระบบ Tactic ช่วยให้การ “ฟาร์ม” ทำได้สบายมากขึ้น

แน่นอนว่าเกมนี้คือเกมต้นตำหรับ JRPG ดังนั้นการ “ฟาร์ม” หรือ Grinding เก็บเลเวล/เงิน/ฯลฯ จึงเป็นเรื่องปกติ สำหรับหลายคนอาจรู้สึกเบื่อๆในจุดนี้ ซึ่งผมก็เป็นในช่วงต้นๆของเกมที่เรามีตัวละครไม่ครบปาร์ตี้ และการต่อสู้ค่อนข้างวกๆวนๆอยู่กับที่ แต่เมื่อเรารวบรวมสมาชิกได้ครบทีมแล้ว ความเบื่อนี้แม้จะยังไม่หายไปแต่ก็ลดน้อยลง แทนที่ด้วยความสนุกกับการลองใช้เทคนิคต่างๆในการจัดการกับศัตรูครับ โชคดีที่ภาคนี้มีระบบ Tactic ที่ให้ตัวละครสู้เองตามลักษณะคำสั่งที่เราตั้งไว้ให้ เลยฟาร์มสบายขึ้นหน่อยหนึ่ง ไม่ต้องกดคำสั่งทุกๆครั้ง แถมภาคนี้พอเราเลเวลอัพจะได้ Skill Point มาอัพเกรดสายตัวละครของเราให้เก่งทางใดทางหนึ่งได้แบบเกม RPG ยุคใหม่ ตัวละครหนึ่งจะมี 3 สายหลัก อย่างตัวเอกเราก็จะมีสายดาบ/ดาบใหญ่และสายเวท ลองผิดลองถูกไม่พอใจก็สามารถ Respec ได้ที่จุดเซฟของเกมด้วย ผมเล่นไป 30+ ชม. Respec ตัวละครไปกี่สิบรอบแล้วก็ไม่รู้ ความเป็นไปได้มันหลากหลายมากๆ

อันอื่นแล้วแต่ แต่ Shypox อันนี้ต้องมี!

DQ11 โดยพื้นฐานแล้วค่อนข้างเป็นเกมที่เล่นง่ายและ Casual จูงมือผู้เล่นในระดับหนึ่ง ซึ่งมันผิดจริตกับผมซึ่งเป็นเกมเมอร์สายฮาร์ตคอร์ชอบเกมยากๆท้าทาย ซึ่งก็เหมาะเหม๋งเมื่อเกมนี้เพิ่มโหมด Draconian ซึ่งทำให้เกมยากขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว ตั้งแต่ ซื้อไอเทมจากพ่อค้าไม่ได้เลย, ติดตั้งเกราะไม่ได้, มอนสเตอร์โหดขึ้น, ศัตรูเลเวลต่ำไม่ให้ EXP เมื่อสู้จบ และ Shypox…. โอ้โหอันนี้ผมแนะนำเลยครับ ใครอยากได้ประสบการณ์ “โครตเรียล” ในเกม DQ ต้องเลือกอันนี้ Shypox จะทำให้ตัวเอกเรารู้สึก “อาย” แบบอารมณ์เรานึกอะไรขำๆ/น่าอายกลางรถไฟฟ้าแล้วหลุดขำ/หน้าแดงออกมาแบบนั้นน่ะครับ ในเกมสถานการณ์จะประมาณ ตัวเอกจะคุยกับ NPC แต่รู้สึกมีเศษอาหารติดฟันเลยพูดไม่ออก หรือเวลาสู้กับศัตรูตัวเอกก็นึกถึงฉากที่ตัวเองฉี่รดที่นอนตอนเด็กแล้วอาย (กลางสนามรบเนี่ยนะ) จนต้องข้าม Turn ไปเลยก็มีครับ

เอ็งมาขวนเขิน อายอะไรตอนเน้!

ถามว่ามันน่ารำคาญไหม ก็มีบ้างเป็นบางครั้งครับ แต่แลกกับความฮาแบบ “WTF” ที่ Shypox ให้กับเราระหว่างการเล่นนี้แล้วผมว่าคุ้มค่าครับ! Recommend เลยอันนี้

Graphic

น่าจะเป็น DQ ภาคหลักที่สวยที่สุดแล้วตอนนี้

เกมนี้ถูกพัฒนาด้วย Unreal Engine แน่นอนว่ารับประกันเรื่องความงามและคุณภาพของ Texture อยู่แล้ว ยิ่งได้ลายเส้นสไตล์อาจารย์ Toriyama มาผสมเข้าไปด้วยนี่ยิ่งงามหยด ผมเปิดเกมมาฉากแรกก็รู้แล้วครับว่า “โครตสวย” ดีไซน์ตัวละครในเกมที่ออกแบบมาได้ดีมาก โดยเฉพาะตัวละครหญิงในเกมที่มีสเน่ห์มาก (ผู้ชายก็โอเคแต่ผมสน Girls มากกว่า) แม้กระทั่ง NPC บางตัวในเกมผมยังรู้สึกว่า…เออมันดูน่าหลงใหลแปลกๆ ตลอดการเล่นของผมจึงออกแนวฮีโร่หน้าหม้อ แวะส่องสาว, ท่อง Puff Puff (ที่สมาชิกทีมสาวๆไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่) และมองหาตัวละครที่หน้าตาละม้ายคล้ายจะหลุดออกมาจาก DragonBall ครับ (มี..แล้วเหมือนมากด้วย) นอกนั้นสถาปัตยกรรมต่างๆก็ออกแบบได้สวยงามตามแบบเกม DQ ครับถือว่าโอเคมากๆ ให้ผ่านฉลุยเลยครับจุดนี้

อยากบอกว่าภาคนี้สาวแจ่มเยอะมากก (หม้อ 55++)

ทว่าด้านการออกแบบ UI ในเกมนี้จะว่ามันเรียบง่ายคลาสสิคตามแบบ DQ มันก็ใช่…แต่หากไปเทียบกับเกมอย่าง Persona 5 แล้วผมบอกเลยครับว่าดีไซน์ UI ของเกม DQ11 นั้น “จืดสนิท” คือมันไม่มีความรู้สึกดึงดูดหรือโอ้โหแบบตอนที่ผมเล่น Persona เลย ไอคอน, กล่อง Text ข้อความ, Menu ฯลฯ ถึงจะบอกว่าอยากคงความเป็น Old-School ไว้ก็เหอะ แบบนี้มันก็ดูเรียบไร้จินตนาการไปนิด อันนี้ก็นานาจิตตังครับ ส่วนตัวผมคิดว่าไหนๆก็ฉลองเปิดตัว DQ ภาคใหม่ทั้งที คือไม่ต้องถึงขั้นเด็กแนวแบบ Persona แต่ออกแบบให้มันดูสวยน่ามองกว่านี้หน่อย

ตัวอย่างหน้า Pause Menu ต่างกันลิบลับ…

Music

Koichi Sugiyama ยังคงรับบทผู้ประพันธ์เพลงประกอบเกม DQ11 เช่นเดียวกับเกม DQ ภาคก่อนๆที่เราทำมา และเวทมนต์นี้ก็ยังไม่เสื่อมคลายครับ ตั้งแต่เพลงหน้า Main Menu จนถึงเพลงในเมือง, Overworld, ฉากต่อสู้, ลงดันเจี้ยน ทุกอย่างมันบอกชัดเลยถึงความเป็น “นี่แหละดราก้อนเควส” ครับ ฉายา Big Boss of Game Music นี่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยจริงๆ ฝีมือเห็นๆ

Conclusion

Dragon Quest XI : Echoes of an Elusive Age เป็นเกมที่ทำได้ดีสมการรอคอยของเกมเมอร์และแฟนๆที่อยากได้ Classic JRPG มาเล่นให้หายคิดถึง แม้ว่าเกมในช่วงแรกๆจะน่าเบื่อไปนิด และการเล่าเรื่องจะดูเดิมๆตามสเต๊ปพล๊อตฮีโร่กู้โลกไปบ้าง แต่ด้วย Plot Twist, เกมเพลย์ที่หนักแน่น, UI ที่อาจขัดใจเกมเมอร์บางคนแต่คงถูกใจสาย Old-School และตัวละครมีสเน่ห์น่าติดตาม รับประกันได้ว่าหากผ่านช่วง Tutorial ต้นเกมมาได้แล้ว สิ่งที่รอเกมเมอร์อยู่คือโลกแฟนตาซีที่อบอุ่นหัวใจเหมือนได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง และเพลิดเพลินไปกับมันกว่า 100+ ชม. ครับ

Facebook Comments