รีวิวอาจจะช้ากว่าคนอื่นเค้าแต่ผมบอกได้เต็มปากว่าเล่นจบแล้ว! และไม่ได้เล่นแบบรีบๆ ด้วยเพราะจะเสียดายมากหากใครที่พยายามเล่นให้จบเร็ว!! ขอบอกว่า Zelda ภาคนี้ทำให้คนทั้งโลกเห็นว่าเกม Open-World อย่างแท้จริงนั้นเป็นยังไง (จะปีนอะไรก็ปีนได้!)! การที่เกมที่มามากกว่า 17 ภาค และยังทำให้เราที่เป็นแฟนเกมทึ่งกับเกมใหม่ได้ ต้องยกย่องทีมงานจริงๆ!! ผมหนักใจจริงๆ ตอนที่เขียนรีวิวนี้เพราะเกมนี้สุดยอดจริงๆ แต่ก็ใช่ว่าเกมนี้จะไม่มีข้อเสียเลย จะพยายามนำเสนอให้เป็นไปตามหลักเหตุผลที่สุดแล้วกัน ลองมาดูกันครับ

เนื้อเรื่อง

การผจญภัยของ Link พระเอกของเราคราวนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากภาคก่อนๆ ที่เราต้องช่วยโลกและเจ้าหญิง Zelda จากเงื้อมมือของ Ganon ที่พยายามจะทำลายอณาจักร Hyrule สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ทุกอย่างได้เกิดไปแล้วเมื่อ 100 ปีที่แล้ว แถมพระเอกของเรายังสูญเสียความทรงจำอีก มันเป็นการเริ่มต้นที่ดีเพราะผู้เล่นใหม่ไม่จำเป็นต้องรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครใดๆ ทั้งสิ้น และเริ่มเรียนรู้ใหม่ไปพร้อมกับ Link เอง

แต่สุดท้ายแล้วผมรู้สึกว่าเนื้อเรื่องเป็นจุดด้อยของเกมๆ นี้ เพราะเนื้อเรื่องไม่เข้มข้นเท่าเกมอื่นๆ และอาจเป็นเพราะทีมงานตั้งใจปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของผู้เล่นเองว่าอยากได้ส่วนนี้มั้ย โดยฝังเนื้อเรื่องไว้ตามจุดต่างๆ โดยให้เราเป็นผู้เลือกที่จะตามเก็บเองหรือไม่ ทำให้ ไม่ว่าจะเป็นเควสหลักหรือย่อยเราก็ไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละครหลักอื่นๆ เท่าไหร่ เพราะตัวละครที่น่าสนใจต่างๆ ตายไปหมดแล้ว

Gameplay

อันนี้ต้องปรบมือดังๆ ให้ทีมงานจริงๆ เพราะแผนที่ที่ใหญ่แต่เต็มไปด้วยสิ่งต่างให้ค้นหาค้นพบ ทำให้การผจญภัยของเราเองเต็มไปด้วยเรื่องหน้าตื่นเต้น โดยทีมงานออกแบบได้เอาระบบต่างๆ มาครอบตัวเกมทำให้ทุกอย่างคล้องจองกัน (มี Spolier นิดนึง หากใครอยากหลีกเลี่ยงขอให้ข้ามไปอ่านย่อหน้าต่อไปครับ) ไม่ว่าจะเป็นระบบสภาพอากาศที่แปรปรวน แบบฟ้าผ่าแล้วห้ามถือของที่เป็นโลหะ หรือการจุดไฟหญ้าทำให้มีลมพัดขึ้นเพื่อให้เราบินสูงได้ หรือมีอยู่ครั้งนึง ผมต้องจุดไฟแต่ไม่มีดาบไฟหรือลูกธนูไฟ เลยลองเอาหินเหล็กไฟที่เก็บได้ 2 ก้อนมาทุบด้วยฆ้อนกับไม้ ปรากฎว่าไฟติด!! ผมนี่ทึ่งมาก ว่าเค้าคิดมาหมดแล้วจริงๆ!!

ให้ความสำคัญกับระบบการต่อสู้มากขึ้น
Zelda ภาคนี้หันมาให้ความสำคัญระบบการต่อสู้มากขึ้น ไม่จะเป็นระบบการต่อสู้ที่เราสามารถ counter และ หลบหลีกได้ (แบบสุดคูล) หรือจะเป็นการใช้เครื่องมืออื่นๆ และสิ่งแวดล้อมให้เป็นประโยชน์ (ถังระเบิด, พลังจาก Shiekah Slate ทั้งหลาย) เพื่อกำจัดศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเมื่อคุณเริ่มคิดนอกเหนือจากการสู้ด้วยอาวุธ เมื่อนั้นความอิสระมันก็จะเกิดขึ้น!

เพราะเหตุนี้จึงเข้าใจว่าทำไมทีมงานถึงทำให้อาวุธแตกง่ายขนาดนี้ เกมมันบังคับให้เรารู้จักปล่อยวาง!! 555 แต่ส่วนตัวก็รู้สึกว่ามันเปราะไปนิดนึง เพราะมันทำให้เราไม่รู้สึกดีใจเท่าไหร่เวลาเปิดหีบแล้วได้ดาบ 60+ มาเพราะรู้ว่าใช้แป๊ปเดี๋ยวก็พัง ซ่อมก็ไม่ได้ แต่ก็เป็นอะไรที่ทีมงานตั้งใจให้เป็นครับเพราะไม่งั้นระบบไอเทมหลายๆ อย่างก็คงต้องเปลี่ยนไปด้วย (อาจจะไม่เจออาวุธเยอะเท่านี้ ทำให้รู้สึกว่าบางครั้งอาวุธต่ำๆ ก็มีประโยชน์ของมัน และถ้าซ่อมได้ผู้เล่นคงวิ่งไปมาระหว่างร้านซ่อมจนเสียอรรถรสในการเล่น) ก็เป็นระบบเกมที่หลายๆ คนไม่พอใจในช่วงแรกๆ แต่ก็ต้องยอมรับ

เป็นเกมที่ไม่จูงมือเรา
สิ่งที่ผมชอบมากคือการที่เกมไม่ช่วยเหลือเรามากเกินไป เพราะนอกจาก Shrine 4 อันแรกแล้ว เกมปล่อยให้เราคลำหาทางของเราเอง และไม่ใช่ง่ายๆ ด้วย เกม Zelda นี้ ถือเป็นเกมที่ยากพอควรเลย อาจจะไม่ยากขนาดเกม Bloodborne หรือ Dark Soul แต่ยืนยันเลยว่าการตายเป็นหนึ่งในขั้นตอนการเรียนรู้ของเกมนี้

อีกอย่างที่เพิ่มขึ้นมาคือระบบทำอาหาร และที่รู้สึกถึงความ open-world จริงๆคือ ตอนที่ผมเล่นครั้งแรกผมข้ามส่วนที่เกมสอนวิธีทำอาหารไปเลย จนกระทั่งหลังจากพิชิต Divine Beast Vah Ruta ได้ ซึ่งถึงจุดนั้นแล้วก็ได้แต่ลองผิดลองถูกกันไป (แต่สูตรอาหารก็จะมีใบ้อยู่ตามที่ต่างๆ) แต่การทำอาหารก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในเกม ไม่ว่าจะเป็นการทำ Elixir เพื่อป้องกันความหนาวหรือทำหารอาหารที่เพิ่ม Stamina ของเรา

ระดับความยากที่ท้าทาย
สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดในช่วงแรกคือความเปราะบางของพระเอก Link ของเรา ซึ่งพอกลับไปนึกถึงตอนนั้นแล้ว มันเป็นเรื่องที่ดี เพราะ ณ จุดนั้นเรารู้สึกว่าอยากเก่งขึ้น ต้องไปหาเกราะดีๆ ฝึกต่อสู้ดีๆ หา Shrine เพื่อเพิ่มทั้งหัวใจและความอึดของเรา จนเก่งขึ้นแล้วเกมเพิ่มระดับความยากของศัตรูมาอีก (คาดว่าขึ้นตามจำนวนหัวใจ)

ส่วนตัว Shrine ที่เราสามารถเข้าไปพิชิต ก็มีปริศนาตั้งแต่ง่ายเด็กประถมก็แก้ได้ จนยากจนต้องกลับไปนอนคิดก็มี ซึ่งผมรู้สึกชอบมากเพราะรู้สึกดีทุกครั้งที่แก้ได้ ไม่น่าเบื่อ ส่วนตัวเควสหลักก็จะมีปริศนาคล้าย Dungeon ที่ใช้จินตนาการนิดนึง

ปลดทิ้งกับ”ภาระ” ของ Zelda ภาคเก่า
แฟนเกม Zelda ภาคเก่าๆ อาจจะต้องปรับตัวนิดนึงเพราะในภาคนี้ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเยอะจากภาคก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มมาของ Shrine ที่ซอยปริศนาเป็นย่อยๆ ให้ลองเล่น หรือ ความสามารถของ Shiekah Slate ทั้งหมด อย่าง เราได้ตั้งแต่ตอนเริ่มของเกมเลย ซึ่งแตกต่างกับภาคก่อนๆ ที่ค่อยๆ ปลดล็อคตามเนื้อเรื่อง (ทำให้ Speedrun จบเกมภายใน 1 ชั่วโมงได้)

ความเป็น Open World แบบที่ไม่เคว้งคว้าง
คนที่เคยเล่นเกม Open World มาหลายเกม คงเคยประสบความรู้สึกแบบนี้ คือเราเดินเล่นอยู่แล้วแถวนั้นไม่มีอะไรให้ทำเลย แต่เกม Zelda ภาคนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยสิ่งที่สามารถทำได้ แม้แค่ปีนเขาเล่นก็ยังเจอโน่นนี่ให้ค้นพบตลอด ทำให้เห็นถึงความใส่ใจของทีมงานจริงๆ

การควบคุมที่อาจจะไม่ธรรมชาติเท่าไหร่
จากคนที่เป็นคนเล่น Playstation 4 ค่อนข้างเยอะ ตอนที่มาเล่นใหม่ๆก็แอบงงเล็กน้อยของการวางปุ่มของเกมนี้ (ปุ่ม “X” ที่อยู่ข้างบนเป็นกระโดดหรือ RZ เป็นการเล็งธนูแทนที่จะเป็น LZ) และเสียดายที่ไม่สามารถเปลี่ยนปุ่มตามคนเล่นได้ แต่หลังจากเล่นไปสักพักใหญ่ก็เริ่มชิน (แต่กลับมาเล่น Horizon Zero Dawn ก็แอบงงกับตัวเองอีก!) อีกอย่างคือเกมนี้ใช้ Motion Control ในการช่วยเรื่องของการยิงธนูและการใช้ความสามารถต่างๆ ซึ่งผมรู้สึกว่าดีมาก เพราะช่วยให้การเล็งธนูได้แม่นยำขึ้น

โดยรวมแล้วผมคิดว่าเป็นอะไรที่ลงตัวแต่ก็สามารถพัฒนาได้อย่างเช่นระบบ Inventory เป็นต้น การที่เคลื่อนไปหน้าของอาวุธจากหน้าไอเทมเป็นอะไรที่รู้สึกว่าทีมงานสามารถทำได้ดีกว่านี้ครับ

การออกแบบและกราฟฟิค

กราฟฟิคไม่ใช่ตัวชูโรงของเกมนี้ แต่ในเชิงของแนวทาง Art Style แล้ว ผมคิดว่ามันเข้าได้ดีมาก รายละเอียดต่างๆทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าไม่น่าเบื่อ แต่ต้องขอตินิดนึงที่หลายครั้งผมประสบปัญหาที่ Frame Rate ตกตอนเล่นบนจอทีวีจนนึกว่าเกมจะค้าง จนทำให้รู้สึกว่าเล่นในแบบ Handheld จะได้อรรถรสมากกว่า

บทสรุป

The Legend of Zelda: Breath of the Wild เป็นเกมที่ทำให้ผมตื่นเต้นไปกับการผจญภัยต่อๆไปของพระเอก Link และการที่ทีมงานทุ่มเทกับทุกรายละเอียดในเกมทำให้เกมนี้เป็นเกม Open World อย่างแท้จริง แต่เกมนี้ก็ใช่ว่าจะไร้ที่ติ Frame Rate ที่ไม่เสถียรหรือจะเป็นเนื้อเรื่องไม่เข้มข้นเท่าภาคเก่าๆ แต่ข้อดีของเกมนี้เยอะมากจนข้อเสียต่างๆดูไม่แย่เท่าไหร่นัก หากคุณมี Nintendo Switch ก็คงยากที่จะไม่ซื้อเกมนี้

Facebook Comments